วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Neurofeedback คืออะไร



Neurofeedback คืออะไร

Neurofeedback หรืออาจเรียกว่า EEG Biofeedback , Neurotherapy เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการรักษาโรคทางสมองแบบเดิมอย่างสิ้นเชิง เนื่องจาก Neurofeedback ปรับการทำงานของสมองโดยใช้ข้อมูลคลื่นสมองของตัวสมองเอง เมื่อทำซ้ำๆจะเป็นการสร้างเงื่อนไขให้สมองปรับตัวไปสู่การทำงานที่ดีขึ้น Neurofeedback จัดว่าเป็นวิธีการที่ปลอดภัยมาก และเกิดผลดีในการรักษาปัญหาทางสมองได้หลากหลาย.



คลื่นสมองเป็นผลรวมของกระแสไฟฟ้าขนาดเล็กมากมายบริเวณผิวสมอง เมื่อสมองทำงานในสภาวะที่มีความตื่นตัวต่างกัน จะเกิดคุณลักษณะคลื่นสมองที่แตกต่างกันด้วย การเปลี่ยนแปลงภายในสมองมีความเป็นพลวัติคือเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานภายในสัมพันธ์กับโลกภายนอกผ่านประสาทสัมผัสต่างๆ.


ธรรมชาติของสมองนั้นมีความจำเป็นต้องปรับตัวตลอดเวลา สมองที่สามารถปรับตัวได้ดีจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในทางตรงข้ามสมองที่มีปัญหาจะไม่สามารถปรับตัวได้ และจะสูญเสียการทำงานเมื่อเผชิญสิ่งเร้าต่างๆ จึงเป็นที่มาของอาการทางจิตที่เกิดขึ้นเมื่อสมองทำงานมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ได้แก่ ภาวะสมาธิสั้น ความจำระยะสั้น โรคอารมณ์เศร้า การขาดความยับยั้งชั่งใจ การควบคุมทางอารมณ์ อาการนอนไม่หลับ อาการปวดศีรษะไมเกรน โรคลมชัก ปัญหาพฤติกรรมในด็กออทิสม เป็นต้น.


Neurofeedback ทำงานอย่างไร

เริ่มจากการติดอิเลคโทรดขนาดเล็กเพื่อวัดคลื่นสมอง คลื่นที่วัดได้จะผ่านการวิเคราะห์แยกแยะความถี่และปริมาณของคลื่นในแต่ละช่วงโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งทำงานได้อย่างรวดร็วมาก จนเราสามารถเห็นการทำงานของสมองแต่ละขณะๆตามที่เป็นจริง คลื่นสมองที่วัดได้บางช่วงคลื่นเป็นคลื่นที่ดีคือทำให้ผู้ป่วยมีระดับการตื่นตัวที่เหมาะสม รู้สึกผ่อนคลาย มีสมาธิ พร้อมต่อการเรียนรู้ แต่คลื่นสมองบางช่วงจะเป็นคลื่นที่ก่อปัญหาคือทำให้สมองต้องทำงานมากเกินหรือน้อยเกินไป


ข้อมูลของคลื่นที่ได้จะถูกนำเสนอในรูปแบบของวิดีโอเกมส์ ความสำเร็จของเกมส์คือการเพิ่มขึ้นของคลื่นสมองที่เราต้องการและยับยั้งคลื่นสมองที่เราไม่ต้องการ สมองจะเป็นผู้เล่นเกมส์ผ่านโปรแกรม เมื่อสมองบรรลุเป้าหมายที่ต้องการฝึก โดยที่เจ้าตัวจะรู้เพียงว่าได้เห็นภาพ ที่อาจเป็นเกมส์รถแข่ง เกมส์จรวดบินผ่านด่านต่างๆ ได้ยินเสียงดนตรีที่สนุกสนานหรือผ่อนคลาย และสัมผัสกับการสั่นของตุ๊กตา โดยนัยนี้จึงหมายความว่าสมองเรียนรู้และปรับการทำงานได้ด้วยตัวสมองเอง


การปรับการทำงานของสมองนี้จะกระทำในตำแหน่งของสมองส่วนที่ทำหน้าที่นั้นๆ เช่นสมองส่วนหน้าด้านซ้ายเกี่ยวกับ สมาธิจดจ่อ ความจำ อารมณ์ ขณะที่สมองส่วนหน้าด้านขวาจะเกี่ยวกับการเกิดแรงจูงใจ ความรู้สึกเป็นสุข อารมณ์สุนทรียะ สมองส่วนด้านหลังด้านขวาจะเกี่ยวกับการรู้สึกเกี่ยวกับร่างกาย อาการเกร็งและอาการปวดที่ไม่ทราบสาเหตุ ในขณะที่การฝึกที่สมองสองข้างพร้อมกันจะช่วยให้สมองเกิดความสงบ จิตใจมั่นคง อารมณ์คงตัว ไม่แกว่ง


Neurofeedback กระทำโดยใคร

การบำบัดด้วย Neurofeedback จะกระทำโดยผู้บำบัด ซึ่งอาจเป็น จิตแพทย์ นักจิตวิทยาคลินิก พยาบาลจิตเวช ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องผ่านการอบรมเฉพาะ และมีความรู้เกี่ยวกับการทำงานของสมอง การประเมินอาการทางจิต การทำจิตบำบัด การให้คำปรึกษา มีความเข้าใจอย่างดีในเรื่องคลื่นสมองรูปแบบต่างๆ งานของสมองทั้งที่ปกติและผิดปกติ จีงสามารถปรับแต่งโปรแกรมเพื่อให้มีผลไปปรับการทำงานของสมองที่ต้องการได้


Neurofeedback สามารถใช้รักษาโรคทางสมองได้หรือไม่

จากที่กล่าวมาแล้วว่า Neurofeedback นั้นเป็นการไปปรับความสามารถของสมองในการปรับตัว ให้สามารถทำงานในหน้าที่ต่างๆได้อย่างมีประสิทธาพมากขึ้น ซึ่งจะมีผลช่วยลดอาการบางอย่างของผู้ป่วยทางสมองได้ แต่ Neurofeedback ไม่ได้มุ่งหมายให้ใช้รักษาโรคทางสมองให้หายโดยตรง



อาการในลักษณะใดที่สามารถใช้ Neurofeedback ช่วยให้ดีขึ้น

การฝึกสมองด้วย Neurofeedback ช่วยลดอาการเรื้อรังทางสมองได้ อาการเหล่านี้อาจเกิดจากการป่วยด้วยสาเหตุใดก็ตาม เมื่อสมองป่วยติดต่อกันเป็นเวลานานย่อมมีผลให้สมองสูญเสียการปรับตัวอย่างเหมาะสมไป Neurofeedback จึงเข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือ ที่พบว่า Neurofeedback สามารถลดอาการได้มีดังนี้


- โรคลมชักที่ยังคุมอาการได้ไม่ดี

- พฤติกรรมแปรปรวน ใน conduct disorder, bipolar disorder

- ภาวะสมองบาดเจ็บหลังคลอด (Cerebral palsy)

- ภาวะหลังสมองบาดเจ็บจากอุบัติเหตุต่างๆ

- ปัญหาการนอน เช่น นอนไม่หลับ ปัสสาวะรดที่นอน การละเมอพูด ละเมอเดิน สะดุ้ง 
   กรีดร้องตอนกลางคืน นอนกัดฟัน ฝันร้าย เป็นต้น

- ปัญหาในวัยรุ่น ได้แก่ อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย อารมณ์เศร้า วิตกกังวล การใช้สารเสพ
   ติด

- ปัญหาทางจิตในวัยผู้ใหญ่ ปัญหาความเครียดเรื้อรัง อาการ panic อาการย้ำคิดย้ำทำ
   อารมณ์หงุดหงิดง่ายที่สัมพันธ์กับรอบเดือน อารมณ์แปรปรวน

- ปัญหาทางจิตในวัยผู้ใหญ่ อาการหลงลืมง่าย อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย การเคลื่อน
  ไหว
  หลังการปรับสมองด้วย Neurofeedback แล้วมีผลคงอยู่นานเพียงใด

ถ้าเป็นปัญหาเกี่ยวข้องกับการปรับตัวของสมอง การใช้ Neurofeedback จะช่วยให้เกิดผลดีที่คงนานเนื่องจากสมองได้เรียนรู้รูปแบบที่จะปรับตัวได้ดีขึ้นกว่าเดิม การทำ neurofeedback จึงไม่เหมือนกับการกินยาเพียงเพื่อบรรเทาอาการ แต่การฝึก Neurofeedback คือการเพิ่มสมรรถภาพสมองที่จะปรับตัวให้ดียิ่งขึ้น จึงเกิดผลทางบวกที่ยั่งยืนกว่า


แต่การทำ Neurofeedback จะมีข้อำกัดในรายที่มีปัญหาการเสื่อมของสมอง เช่น โรคสมองเสื่อม โรคพาร์กินสัน เพราะสมรรถภาพสมองในภาพรวมลดลงมากแล้ว การฝึกจึงอาจช่วยไม่ได้มาก และในกรณีที่มีภาวะหรือโรคที่คุกคามการทำงานของสมอง เช่นโรคติดเชื้อ ภาวะน้ำในโพรงสมองมากเกิน (hydrocephalus) จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่เป็นการเฉพาะกับโรคนั้นๆก่อน


การรักษาด้วยยาไปพร้อมกับ Neurofeedback

ในรายที่ได้ผลดีด้วยการทำ Neurofeedback ผู้ป่วยและญาติจะสามารถลดการใช้ยาได้ เนื่องจากสมองที่ฝึก Neurofeedback สามารถปรับตัวด้วยสมรรถาพที่เพิ่มขึ้น จึงต้องการให้ยาช่วยน้อยลงได้เอง อย่างไรก็ตามการใช้ยาและ Neurofeedback ควบคู่กันก็มีผลช่วยเสริมการรักษาให้ดียิ่งขึ้นด้วย


จะสามารถมารับการบำบัดด้วย Neurofeedback ได้อย่างไร

ผู้สนใจสามารถติดต่อโดยตรงที่ Mind Brain Center เพื่อทำการประเมินอาการและวางแผนการบำบัดตามอาการของแต่ละคน ซึ่งเปิดทำการทุกวัน จันทร์ - เสาร์ เวลา 10:00-19.00 น. ที่ 1023/38 ตรงข้ามโรงเรียนทอสี ซอยเอกมัย 22 หรือ ซอยปรีดี พนมยงค์ 41 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ โทร. 02-3929271-2

web : www.mindbraincenter.com
e-mail : mindbraincenter@gmail.com


“ช่วงเวลาที่เด็กชายป๋องรู้สึกทุกข์ทรมานเป็นที่สุด ก็ตอนที่ต้องนั่งนิ่งๆตัดผมในร้านนั่นเอง ดังนั้นสิ่งที่พ่อแม่สังเกตุเห็นพฤติกรรมของป๋องในช่วงตัดผมคือ การยุกยิก ไม่อยู่นิ่ง เกาโน่นจับนี่เหมือนจะคันไปหมดทั้งตัว หันซ้ายที หันขวาที และมีบางครั้งที่ ลุกทะลึ่งพรวดลงจากโต๊ะตัดผม แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย!! พ่อต้องคอยกำกับอยู่ใกล้ๆตั้งแต่ต้นจนกว่าจะเสร็จ ทำเอาทั้งคุณพ่อและลุงช่างตัดผมต้องปาดเหงื่อกันหลายรอบเลย”

“ น้องเจนเป็นเด็กน่ารัก เรียบร้อย มาโรงเรียนสม่ำเสมอ นั่งเรียนตาแป๋วทุกชั่วโมง แต่ทำไมถึงสอบได้ไม่ดีเลย คุณครูรายงานว่าน้องเจนชอบนั่งเหม่อลอย มองออกนอกหน้าต่าง ครูพูดด้วยก็เหมือนไม่ได้ยิน การบ้านที่ให้ไปก็ส่งไม่ครบ สมุดหนังสือหายเป็นประจำ ส่วนคุณแม่ก็ว่า น้องเจนเป็นเด็กช้าไม่ทันเพื่อน เวลาทานข้าวจะใช้เวลานานมากกว่าจะทานเสร็จ เพราะมัวแต่ทานไปดูทีวีไป ”

เรื่องราวข้างต้น คงเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองหลายท่านประสบอยู่เป็นประจำ จนบางท่านต้องพาลูกไปปรึกษาแพทย์ ว่าลูกซนผิดปกติบ้าง สมาธิสั้นบ้าง หรือที่หนักที่สุดก็คือ คิดว่าลูกเป็นเด็กไม่เอาไหนเลย

ปัญหาเกี่ยวกับสมาธิที่เป็นมากจนกระทบกับการเรียน ทางการแพทย์จะเรียกว่า โรคสมาธิสั้น (Attention deficit/ hyperactivity disorder) เป็นปัญหาที่พบบ่อยในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง และโรคนี้สามารถติดตัวไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ก็ได้ นอกจากนี้ผู้ที่อาจยังไม่ถึงขั้นเป็นโรคสมาธิสั้น แต่มีปัญหาสมาธิ คือวอกแวกง่าย อ่านหนังสือ เขียนหนังสือและทำงานต่อเนื่องไม่ได้นาน

ความสามารถที่จะมีสมาธิได้จดจ่อต่อเนื่องนั้น ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญสองประการ คือ การจดจ่อใส่ใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างต่อเนื่อง และ ความสามารถในการเพิกเฉยไม่สนใจต่อสิ่งเร้าอื่นที่มารบกวน ในเด็กที่มีสมาธิสั้นนั้นจะมีปัญหาทั้งสองอย่างร่วมกันคือ จดจ่อสนใจไม่ได้นานและวอกแวกง่าย

ปัญหาสมาธิสั้นส่วนใหญ่พบว่ามาจากการที่สมองส่วนหน้าทำงานพร่องไป อาจเกิดจากว่ายังไม่พัฒนาเต็มที่ หรือจากรอยโรคการบาดเจ็บซึ่งเกิดขึ้นในวัยเด็ก นอกจากนี้ยังพบปัญหาสมาธิสั้นในโรคซึมเศร้า ออทิสติก ปัญญาอ่อน โรคลมชัก ส่วนสาเหตุอื่นอาจเกิดจากการฝึกฝนเลี้ยงดู ที่ขาดการฝึกวินัยการควบคุมตัวเองและสภาพแวดล้อมที่บ้านมีสิ่งเร้าเด็กมากเกินไป

จากการพัฒนาเทคโนโลยีทางสมองก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก คือสามารถประเมินการทำงานของสมองโดยการวัดค่าคลื่นสมอง(Electroencephalography) เป็นสภาวะของสมองในแต่ละขณะๆ และพัฒนามาเป็นการบำบัดที่เรียกว่า Neurofeedback โดยจะสะท้อนค่าคลื่นสมองที่วัดได้กลับสู่สมอง เพื่อให้สมองสามารถเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานของตัวเอง การทำเช่นนี้ซ้ำๆประมาณ 20-40 ครั้ง จะทำให้สมองมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลคือทำให้มีสมาธิเพิ่มมากขึ้น สามารถจดจำได้มากขึ้น เพิ่มความสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีขึ้น ทั้งหมดนี้จึงเป็นการเพิ่มสมรรถภาพการเรียนรู้ด้วยการปรับปรุงที่การทำงานของสมองโดยตรง

ก่อนรับการบำบัดจะมีการประเมินความสามารถของสมาธิในเด็กแต่ละราย เพื่อให้ทราบค่าเบื้องต้น ประกอบด้วย การละเลยคำตอบ ความวู่วาม ความเร็วในการตอบสนอง และค่าความผันแปรของสมาธิในแต่ละช่วงเวลา จากค่าที่ได้จะช่วยวางแผนการใช้ Neurofeedback พัฒนาสมาธิของเด็กได้อย่างถูกต้องและเป็นระบบ

การบำบัดด้วย Neurofeedback เป็นวิธีการที่ปลอดภัยโดยไม่ต้องใช้ยา และมีการวิจัยและพัฒนาจนเป็นที่ยอมรับในการเพิ่มสมรรถภาพการเรียนรู้ให้กับเด็กในต่างประเทศเช่น สหรัฐอเมริกา และประเทศทางยุโรปอย่างมากมายในปัจจุบัน

บทความที่เกี่ยวข้อง
Neurofeedback คืออะไร
ทางเลือกสำหรับการดูแลพัฒนาเด็กที่มีสมาธิสั้น
Peakperformance And Neurofeedback - เพิ่มผลังสมอง เพิ่มศักยภาพสมอง
สมาธิกับการเรียน
สมาธิสั้น
Brain Test

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.mindbraincenter.com



5 ความคิดเห็น:

  1. ถ้าต้องการพาลูกไปทำการบำบัดโรคสมาธิสั้น มีค่าใช้จ่ายเท่าไหรค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. สวัสดีคะ เรียนคุณ Nongnok Chimsoontorn ขณะนี้ทางเซ็นเตอร์กำลังปิดปรับปรุงคะ ถ้าใกล้เปิดแล้วจะเรียนให้ทราบโปรดติดตามได้ทางเว็บไซต์คะ ค่าบริการถ้าเป็นครั้ง ครั้งละ 1500 บาทคะ แต่ถ้าเป็นคอร์ส 1 คอร์ส 20 ครั้ง 18000 บาทคะ 1 คอร์สนี้รวมถึงการ interview + ทำ Qik test 2 ครั้งคะ แต่ถ้าเป็นครั้งจะไม่รวมคะการทำ Qik test ซึ่งจะแยกอีกต่างหาก 1500 บาทคะ ขอบคุณคะ

      ลบ
  2. สนใจค่า ถ้าปรับปรุงเสร็จแล้วรบกวนแจ้งให้ทราบด้วยนะคะ จะปรึกษาคุณหมอทีรักษาประจำแล้วจะทำการรักษาควบคู่กับการกินยาค่า

    ตอบลบ
  3. ราคาทำต่อครั้งเทาไหร่ค๊ะ

    ตอบลบ
  4. โทรไม่ติดคะ่สนใจ

    ตอบลบ